วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ข่าวพลเมืองดีเก็บเงินคืนชาวต่างชาติ






                                ข่าวพลเมืองดีเก็บเงินคืนชาวต่างชาติ

           นายสันติ ป่าหวาย ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย นายประเทือง ศรขำ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต พ.ต.ต.อุรัมพร ขุนเดชสัมฤทธิ์ สารวัตรตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต และสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจภูธรท่าฉัตรไชย ร่วมมอบเกียรติบัตรให้กับ นายธาตรี นิ่มนวล พนักงานขับรถ บริษัท Tez Tour เพื่อเชิดชูเกียรติ ในโอกาสทำความดี โดยการเก็บเงินจำนวน 15,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 450,000 บาท มอบให้กับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ซึ่งทำตกหล่นไว้บริเวณลานจอดรถ ของสนามบินภูเก็ต โดยนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียดังกล่าว ได้ทำกระเป๋าสตางค์หล่นหาย บริเวณสนามบินภูเก็ต เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา และได้มาแจ้งกระเป๋าเงินหาย หลังจากเดินทางมาถึงสนามบินภูเก็ต กับทางตำรวจ สถานีตำรวจภูธรท่าฉัตรไชย ซึ่งในกระเป๋าดังกล่าวมีเงิน จำนวน 15,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 450,000 บาท พร้อมบัตรเครดิต Visa และ Passport แต่ไม่ทราบว่าทำหล่นตรงจุดไหน หลังรับแจ้งทางตำรวจภูธรท่าฉัตรไชยก็ได้พานักท่องเที่ยวดังกล่าวไปพบตำรวจท่องเที่ยว เพื่อเป็นล่ามแปลและติดต่อประสานงานติดตามหากระเป๋าดังกล่าวให้ โดย นายธาตรี นิ่มนวล พนักงานขับรถ ของบริษัท Tez Tour ได้นำกระเป๋าของนักท่องเที่ยวดังกล่าว ซึ่งพบทำหล่น อยู่บริเวณลานจอดรถของสนามบิน มาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว เพื่อมอบให้นักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ขณะที่ Mr.Roman Kozlov ได้กล่าวขอบคุณชื่นชมในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และขอบคุณ นายธาตรี เป็นอย่างมาก

โรงเรียนสตรีวืทยา










                                  ประวัติโรงเรียนสตรีวิทยา
 

 พ.ศ. 2443 ก่อตั้งสตรีวิทยา
โรงเรียนสตรีวิทยาก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ร.ศ. 119 (พ.ศ. 2443) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สถานที่เดิมตั้งอยู่ที่วังพระองค์เจ้าอลังการหลังโรงหวย กข.ตำบลสามยอด(ปัจจุบันเป็นตึกของบริษัทสามมิตรสงเคราะห์) กรมศึกษาธิการได้แต่งตั้ง มิสลูสี ดันแลป เป็นครูใหญ่คนแรกของสตรีวิทยา ต่อมาโรงเรียนได้ย้ายไปอยู่ที่ตึกสองชั้น ถนนเจริญกรุง หลังวังบูรพาภิรมย์ ในช่วงนั้นคนทั่วไปนิยมเรียกโรงเรียนสตรีวิทยาว่า"โรงเรียนแหม่มสี"สมัยนั้นโรงเรียนเปิดรับทั้งชายและหญิง ซึ่งนักเรียนชายต้องอายุไม่เกิน 12 ปี สอนตั้งแต่เด็กเริ่มเรียน ส่วนชั้นประถมมีการสอนภาษาอังกฤษด้วย เมื่อโรงเรียนเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ มิสลูสี ดันแลป ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาที่ต้องพัฒนาในระดับสูงขึ้น จึงแจ้งความประสงค์ยกโรงเรียนสตรีวิทยาให้แก่กรมศึกษาธิการ กรมธรรมการ และ มิสลูสี ยินยอมรับราชการต่อไป

3 สิงหาคม พ.ศ. 2444 เป็นโรงเรียนรัฐบาล
กระทรวงธรรมการมีคำสั่งให้ลงแจ้งความเปิดโรงเรียนสตรีวิทยาประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษาเป็นโรงเรียนของรัฐบาล ให้สอนตามหลักสูตรของกรมศึกษาธิการและได้จัดการเรียนการสอนจนถึงระดับมัธยมศึกษา

พ.ศ. 2448 ย้ายไปที่ตึกริมถนนราชบพิธ
โรงเรียนได้ย้ายไปอยู่ที่ตึกริมถนนราชบพิธติดกับโรงพิมพ์โสภณพิพัฒนาการ

พ.ศ. 2449-2450
มิสลูสี ดันแลป ลาออกเพราะสุขภาพไม่ดี กรมศึกษาธิการจึงให้ครูทิม กาญจนาโอวาท ครูใหญ่โรงเรียนศึกษานารี เป็นครูใหญ่โรงเรียนสตรีวิทยาอีกแห่งหนึ่ง ต่อมากระทรวงธรรมการรวมโรงเรียนสตรีวิทยาและโรงเรียนศึกษานารีเข้าด้วยกันแล้วย้ายมาอยู่ที่ตึกดิน มุมถนนดินสอและถนนราชดำเนินกลาง(ปัจจุบันคือบริเวณ บริษัทธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด) โดยใช้ชื่อว่าโรงเรียนสตรีวิทยาตั้งแต่พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา

พ.ศ. 2452 ย้ายไปถนนดินสอ
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ต้องการที่ดินคือเพื่อสร้างอาคารตามโครงการปรับปรุงถนนราชดำเนินใหม่ กระทรวงศึกษาธิการโดย พล.ร.อ.หลวงสินธุ์สงครามชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มีคำสั่งให้หาที่สร้างโรงเรียนสตรีวิทยาใหม่ อาจารย์สิริมา จิณณาสา อาจารย์ใหญ่ ตกลงเลือกที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ริมถนนดินสอ พื้นที่9ไร่อยู่ตรงข้ามสถานที่เดิม การก่อสร้างโรงเรียนใหม่ของสตรีวิทยา พล.ร.อ.หลวงสินธุ์สงครามชัย ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น ผู้ชุบชีวิตสตรีวิทยา มีความประสงค์จะให้เป็นโรงเรียนตัวอย่างในเชิงก่อสร้าง โดยวางแผนผังให้เหมาะสมโอ่โถงงดงาม รายการปลูกสร้างได้แก่ ตึกเรียน2ชั้น1หลัง หอประชุมหรือโรงอาหารเป็นโรงโถงชั้นเดียว มีเวทีสำหรับการแสดง ห้องส้วม ห้องพยาบาล เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ต่อมามีการสร้างหอการฝีมือ โรงครัว บ้านพักครูใหญ่ เรือนภารโรง การก่อสร้างใช้เวลา 17เดือน เปิดโรงเรียนเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2484

พ.ศ. 2487 ปิดโรงเรียนเพราะสงครามโลก
ปิดโรงเรียนเพราะสงครามโลกครั้งที่สองเกรงจะเป็นอันตรายจากการทิ้งระเบิด

พ.ศ. 2488 เปิดโรงเรียน
หลังสงครามโลกได้เปิดสอนต่อแต่ไปเรียนที่โรงเรียนเบญจมราชาลัยเพราะอาคารเรียนสตรีวิทยาใช้เป็นที่ตั้งหน่วยพยาบาล ของทหารพันธมิตรจนเดือนเมษายน พ.ศ. 2489 ทหารย้ายออกไป จึงกลับมาเรียนที่เดิม

พ.ศ. 2490 เปิดชั้นเตรียมอุดม
เปิดสอนชั้นเตรียมอุดมเป็นรุ่นแรกมีแผนกอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ นักเรียนเตรียมแผนกอักษรศาสตร์สอบไล่ได้เป็นที่1ของทั้งประเทศ นอกจากนั้นยังสอบได้เป็นที่2 และที่19ในจำนวนนักเรียน50คนแรกที่ได้รับประกาศชื่อนับเป็นครั้งแรกที่โรงเรียนรัฐบาลสามารถทำได้ โรงเรียนสตรีวิทยาจึงได้ริเริ่มคิดป้าย เกียรตินิยมเรียนดี ขึ้นเพื่อประกาศชื่อนักเรียนที่เรียนดีติดไว้ที่หอประชุมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พ.ศ. 2491 จัดตั้งสตรีวิทยาสมาคม
จัดตั้งสตรีวิทยาสมาคม เพื่อเป็นที่พบปะติดต่อกันของศิษย์เก่าและให้ศิษย์เก่าร่วมแรงร่วมใจกันทำประโยชน์ให้แก่โรงเรียน ได้ทำพิธีเปิดป้ายเมื่อวันที่ 18 มีนาคม

พ.ศ. 2492 กีฬาประเพณี
สมาคมได้มอบทุนให้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 ที่สอบไล่ได้คะแนนยอดเยี่ยม จัดให้มีการแข่งขันกีฬาประเพณีซึ่งเป็นการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียนจนเป็นประเพณีสืบต่อมาจนทุกวันนี้


ภาพโรงเรียนจากตึกเอกอำนวยการ
พ.ศ. 2495-2496 ครบรอบครึ่งทศวรรษ
โรงเรียนได้งบประมาณเพื่อก่อสร้างอาคารวิทยาศาสตร์โรงเรียนได้จัดงานฉลองโรงเรียนครบครึ่งทศวรรษ เพื่อฉลองอาคารวิทยาศาสตร์ไปด้วยเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2496 งานครั้งได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีโดยทรงพระกรุณาเสร็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในงาน ยังความปลาบปลื้มปิติแก่คณะครูนักเรียนสตรีวิทยาอย่างหาที่สุดมิได้

พ.ศ. 2498 จัดตั้งสมาคมผู้ปกครองและครูสตรีวิทยา
เพื่อส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างผู้ปกครองและครู ตลอดจนเป็นที่แลกเปลี่ยนความรู้ความคิด และประสบการณ์ในการแก้ปัญหาของเยาวชนร่วมกัน

พ.ศ. 2512-2515
โรงเรียนได้รับงบประมาณก่อสร้างและซ่อมแซมอาคารดังนี้ - สร้างอาคารเรียน 4 ชั้น 40 ห้องเรียน พร้อมหอประชุมใหญาลานเอน จุคนได้ประมาณ1200คน ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2514 - สร้างอาคาร5ชั้นด้านถนนราชดำเนิน ชั้นล่างเป็นโรงอาหาร เป็นอาคารที่มีห้องเรียนประมาณ40ห้อง และมีห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ห้องพักครู ห้องฝ่ายปกครอง ห้องพิมพ์ดีด และห้องสหกรณ์โรงเรียน

พ.ศ. 2530-2532
โรงเรียนสตรีวิทยาได้รับรางวัลโรงเรียนดีเด่น 3 ปีซ้อน และโรงเรียนพระราชทาน นักเรียนพระราชทานปี 2533

พ.ศ. 2543
โรงเรียนสตรีวิทยาครบรอบร้อยปีสัญลักษณ์โรงเรียน[แก้]
เข็มสตรีวิทยา
เป็นรูปโล่ บริเวณพื้นที่สีแดงมีรูปคบเพลิง บริเวณพื้นที่สีขาวมีอักษรเขียนว่า"โรงเรียน"และ"สตรีวิทยา"


เข็มสตรีวิทยา
คติพจน์ของโรงเรียน
ธัมมัง สุจริตตัง จเร พึงประพฤติธรรมให้สุจริต

สีประจำโรงเรียน
แดง-ขาว

แดง(แดงเลือดนก) หมายถึง เลือดเนื้อของชาวสตรีวิทยา ลูกสตรีวิทยาจะต้องรักพวกพ้อง สามัคคีกัน ประดุจพี่น้องร่วมสายโลหิต
ไม่ว่าอยู่ ณ ที่ใด สีแดงจะสด-เด่น เปรียบคุณค่าลูกสตรีวิทยาที่มีความจงรักภักดีต่อชาติบ้านเมือง และพร้อมที่จะทำประโยชน์แก่สังคมฉันนั้น

ขาว หมายถึง ความสะอาด บริสุทธิ์ดุจดอกมะลิของลูกสตรีวิทยาที่มีจิตใจพร้อมถึงคุณธรรม
ต้นไม้ประจำโรงเรียน
ต้นโพธิ์

ดอกไม้ประจำโรงเรียน
ดอกเต็งแต้วแก้วกาหลง มีสีขาว เมื่อก่อนจะถูกปลูกไว้บริเวณหน้าโรงอาหาร

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โรงเรียนมวกเหล็กวิทยา

                                                                  ประวัติ





การทำบุญคณะคุณครูและนักเรียนของโรงเรียนมวกเหล็กวิทยาในอดีต ในระยะ
     
แรกอาศัยอาคารเรียนของโรงเรียนวัดมวกเหล็กนอก (ราษฎร์พัฒนา) มีนักเรียน 46 คน และครู 6 คน มีนายทวี จันทวร เป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียน ต่อมาได้ย้ายมาตังในที่ดินราชพัสดุ ซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) มีเนื้อที่ 41 ไร่ 0 งาน 13 ตารางวา มีอาคารเรียน 1 หลังเป็นแบบ 216 ล ซึ่งเป็น อาคาร 1 ในปัจจุบัน ปีการศึกษา 2521 มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรใหม่ และจำนวนนักเรียนชั้น ม.1 เพิ่มมากขึ้น จึงได้สร้างอาคารเรียนชั่วคราว 1 หลัง [1]

       ปีการศึกษา 2522 ได้รับงบประมาณสร้างหอประชุม 1 หลังอาคารโรงฝึกงาน 3 หลัง จำนวน 6 หน่วยอาคารพยาบาลและสหกรณ์จำนวน 1 หลัง

        ปีการศึกษา 2527 โรงเรียนได้รับอนุมัติให้เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีแผนการเรียน 2 แผนการเรียน ได้แก่ แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ และแผนการเรียนเกษตรกรรม

         ปีการศุกษา 2528 ได้รับอนุมัติให้ใช้พื้นที่ราชพัสดุในการดูแลขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อสค)เพื่อสร้างสนามกีฬา จำนวน 7 ไร่ 0 งาน 05 ตารางวา

          ปีการศึกษา 2531 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการนำร่อง "การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรมัธยมศึกษา พุทธศักราช 2524 เพื่อประกอบอาชีพอิสระ"ของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนจึงได้เปิดผนการเรียนอาชีพอิสระเพิ่มขึ้นอีก 1 แผนการเรียน และในปีนี้โรงเรียนได้รับคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาการใช้หลักสูตรประจำปีการศึกษา 2532 โรงเรียนได้จัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเป็น 6-5-5 และในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็น 3-2-2 รวมจำนวนห้องเรียน 23 ห้อง

           ปีการศึกษา 2533 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาหลักสูตร มีนักเรียน 802 คน ครู-อาจารย์ 47 คน จำนวนห้องเรียน 23 ห้อง นักการภารโรง 5 คน และพนักงานขับรถ 1 คน

            ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการ"หนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝัน"

            ปีการศึกษา 2555 มีที่ดิน 48 ไร่ 0 งาน 18 ตารางวา มีครู-อาจารย์ 68 คน ครูอัตราจ้าง 8 คน พนักงานราชการ 2 คน มีจำนวนนักเรียน 1,600 มีนักการภารโรง 3 คน พนักงานขับรถ 1 คน

            ปีการศึกษา 2556 ปัจจุบันมีที่ดิน 48 ไร่ 0 งาน 18 ตารางวา มีครู-อาจารย์ 63 คน ครูอัตราจ้าง 12 คน พนักงานราชการ 2 คน มีจำนวนนักเรียน 1,589 มีนักการภารโรง 3 คน พนักงานขับรถ 1 คน

สัญลักษณ์ประจำโรงเรียน

อาคารอดิเรกสาร(อาคาร 3) โรงเรียนมวกเหล็กวิทยา
ปรัชญาโรงเรียน : สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา บูชาคุณธรรม นำชุมชน
สีประจำโรงเรียน : สีเลือดหมู และสีเหลือง
ตราประจำโรงเรียน : ตราประจำโรงเรียนมีสัญลักษณ์และความหมาย ดังนี้
ดวงเทียน : ครูผู้ให้ความรู้แก่นักเรียน
รัศมี : แสงสว่างนำทางนักเรียนและชุมชน
ธมฺมจารี สุขํ เสติ : ความหมาย ผู้ประพฤติธรรมย่อมเป็นสุข
ภูเขา ท้องฟ้า เมฆ : ธรรมชาติที่รอบล้อมโรงเรียน
ต้นกล้า : นักเรียนทุกคนที่กำลังเติบโตเป็นอนาคตของชาติ
ต้นไม้ประจำโรงเรียน : ต้นประดู่แดง
เพลงประจำโรงเรียน : มาร์ชม.ว.[2]

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

สถานที่ท่องเที่ยวทุ่งทานตะวัน

                                                                      ทุ่งทานตะวัน
ทุ่งทานตะวัน  สระบุรี
นักท่องเที่ยวสามารถ วางแผนการเดินทางมาท่องเที่ยว ทุ่งทานตะวัน จังหวัดสระบุรี ได้ตลอดเวลาเลือกชมได้ ในหลายๆ พื้นที่ โดยแต่ละแห่ง แต่ละ พื้นที่จะมีความสวยงามและกิจกรรมการจัดงานแตกต่างออกไป นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการขับรถชมทุ่งทานตะวันท่ามกลางบรรยากาศเนินเขา ทุ่งหญ้า ฟาร์มม้า โคนม และ ไร่องุ่น สามารถเลือกชมและท่องเที่ยวทุ่งทานตะวันได้ในพื้นท ี่อำเภอวังม่วง และมวกเหล็ก บรรยากาศการ ท่องเที่ยว ของสองอำเภอนี้เหมาะสำหรับท่องเที่ยวแบบครอบครัว ขับรถชมทิวทัศน์ ชมธรรมชาติ ท่ามกลาง สาย ลมหนาว ที่พัดผ่านที่ราบเชิงเขา ชมทุ่งทานตะวันถ่ายภาพเป็นที่ระลึก พักผ่อนรีสอร์ตกับครอบครัวอย่างมีความสุขทานตะวันจะบานสะพรั่งสวยงามในสองอำเภอนี้มากที่สุด ในช่วง ระหว่าง เดือนธันวาคมและมกราคม ในช่วง เวลาอื่นๆ จะมีบานสะพรั่งเป็นพื้นที่ๆ
ทุ่งทานตะวัน  สระบุรีทุ่งทานตะวัน  สระบุรี
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ของทุกปี ฤดูกาลท่องเที่ยว ทุ่งทานตะวัน จังหวัดสระบุรี  ริมฝั่งถนนจะสะพรั่งไปด้วยสีเหลืองของดอกทานตะวัน เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ผ่านมาบริเวณนี้เป็น อย่างมากจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัด และในทุกปีจังหวัดสระบุรีจะ จัด เทศกาลทุ่งทานตะวันบาน ในทุกปี สลับหมุนเวียนไปในแต่ละอำเภอ / พื้นที่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไป ชื่นชมและถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ตลอดจนการ ให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการปลูกดอกทานตะวัน การนำเอาผลผลิตจาก เมล็ดทานตะวันไปใช้ประโยชน์ในการอุปโภคบริโภครวมทั้งการเลือกซื้ออาหารเพื่อสุขภาพ เช่น เมล็ดทานตะวัน คั่วสด ๆ จากไร่ หรือหาซื้อน้ำผึ้งทานตะวันเป็นของฝากจังหวัดสระบุรีมีพื้นที่ปลูกทานตะวันนับหลายหมื่นไร่ บริเวณ เขตติดต่อระหว่างจังหวัดลพบุรี และสระบุรี ตามเส้นทางสายพัฒนานิคม-วังม่วง มีการทำไร่ทานตะวันกันมาก รวมทั้งในอีกหลายอำเภอของสระบุรี เช่น อำเภอพระพุทธบาทแก่งคอย หนองโดน หนองแคและมวกเหล็ก แต่ที่อำเภอวังม่วงจะมีพื้นที่ปลูกมากที่สุด
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการชมทุ่งทานตะวันในหุบเขาแบบแรลลี่ครอบครัว จะพบกับความงดงามของ ทุ่งทานตะวันเต็มหุบเขา ที่ตำบลหินซ้อน และตำบล ท่าคล้อ ของอำเภอแก่งคอย ทานตะวันจะบานสะพรั่งใน ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมมากที่สุด เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวแบบแรลลี่ชมทุ่งทานตะวัน ในพื้นที่อำเภอ แก่งคอยนี้ทุ่งทานตะวันจะบานสะพรั่งมากที่สุดกว่า 20,000 ไร่ ในหลายตำบล นักท่องเที่ยวที่ต้องการ นั่งรถไฟ ผ่านทุ่งทานตะวันต้องนั่งรถไฟ สายกรุงเทพฯ-หนองคาย เมื่อเดินทางเข้าพื้นที่ตำบบลท่าคล้อ หินซ้อน ของอำเภอแก่งคอยตลอดแนวสองข้างทางรถไฟ จะพบกับทุงทานตะวัน เหลืองอร่ามท่ามกลางสายลมหนาวพัด เย็นสบาย หากจะนั่งรถไฟผ่าน ทุ่งทานตะวัน ขอแนะนำให้นั่งรถช่วงระหว่างกลางเดือนธันวาคม ถึงปลายเดือน จะไม่ผิดหวัง

คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับผลไม้

คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับผลไม้


banana บะ แนน' นา กล้วย
orange ออ' เร็นจฺ ส้ม
papaya พะ พา' ยา มะละกอ
mango แม็ง' โก มะม่วง
apple แอป' เพิล แอปเปิ้ล
pineapple ไพนฺ' แอป เพิล สับปะรด
coconut โค' โคะ นัทฺ มะพร้าว
durian ดู' เรียนฺ ทุเรียน
mangosteen แม็ง' โกสฺ ทีนฺ มังคุด
rose-apple โรสฺ' แอป เพิล ชมพู่
peach พีชฺ ลูกพีช
pear แพรฺ ลูกแพร
plum พลัมฺ ลูกพลัม
apricot เอ' พริ ค็อท ลูกแอ็ปปริคอท
kiwi คี' วี ลูกกีวี
avocado แอ็ฟโว' คาโดะ ลูกอะโวคาโด
contaloupe แคน' ทะ ลูพฺ แตงแคนตาลูป
watermelon วอ' เทอรฺ เม' ลัน แตงโม
grape กเรพฺ องุ่น
cherry เชอ' รี เชอร์รี่
strawberry สทรอ' เบอ รี สตรอเบอร์รี่
raspberry แรสฺ' เบอ รี ราสเบอร์รี่
blueberry บลู' เบอ รี บลูเบอร์รี่
guava กวา' ฝะ ผลฝรั่ง
persimmon เพอรฺ ซีม' มันฺ ลูกพลับ
pomelo พ็อม' มี โล ส้มโอ
pomegranate พ็อม' แกรน เน็ทฺ ทับทิม
rambutan แร็ม' บู ทัน เงาะ
prickly pear พริคง ลิ แพรฺ ลูกแพรขน
longan ลอง' เกินฺ ลำใย
lichee ไล' ชี ลิ้นจี่
sapodilla แช โพะ ดิล' ละ

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

ผลไม้ที่ชอบ









                                                               ผลหม่อน


             เป็นผลที่เกิดจากช่อดอก ผลเป็นผลรวมอยู่ในกระจุกเดียวกัน โดยจะออกตามซอกใบ ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกระบอก ยาวประมาณ 1-2.5 เซนติเมตร ผลเป็นสีเขียว เมื่อผลสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดงเข้มหรือสีม่วงดำ เกือบดำ เนื้อนิ่ม ฉ่ำน้ำ และมีรสหวานอมเปรี้ยว[1],[2]
ผลหม่อน

                                                      สรรพคุณของหม่อน
ใบหม่อนมีรสจืดเย็น ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาระงับประสาท (ใบ)[1],[4]
ใบใช้ทำชามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (ราก)[4]
กิ่งหม่อนมีสรรพคุณช่วยทำให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวกมากขึ้น (กิ่ง)[8]
ช่วยบำรุงหัวใจ (ผล)[8]
ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ (ใบ)[2]
ผลนำมาต้มกับน้ำหรือเชื่อมกินเป็นยาแก้ธาตุไม่ปกติ (ผล)[3],[4]
ผลหม่อนมีรสเปรี้ยวหวานเย็น มีสรรพคุณช่วยดับร้อน คายความร้อนรุ่ม ขับลมร้อน ทำให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการกระหายน้ำ และทำให้ร่างกายชุ่มชื่น (ผล)[1],[2],[4],[8]
ใบใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ ไข้หวัด ตัวร้อน แก้ร้อนในกระหายน้ำ และเป็นยาช่วยขับลมร้อน (ใบ)[1],[2],[3],[4]
ใบมีรสขม หวานเล็กน้อย เป็นยาเย็นออกฤทธิ์ต่อปอด ตับ และกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยาแก้ไอร้อนเนื่องจากถูกลมร้อนกระทบ (ใบ)[2]
ใบมีสรรพคุณช่วยขับเหงื่อ (ใบ)[3],[4]
ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ (ใบ)[1]
เปลือกรากหม่อนมีรสชุ่ม เป็นยาเย็นออกฤทธิ์ต่อปอดและม้าม ใช้เป็นยาแก้ไอเป็นเลือด แก้ไอร้อนไอหอบ (เปลือกราก)[2]
เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาขับเสมหะ (เมล็ด)[3]
ใบนำมาทำเป็นยาต้ม ใช้อมหรือกลั้วคอแก้อาการเจ็บคอ คอแห้ง แก้ไอ และทำให้เนื้อเยื่อชุ่มชื้น หล่อลื่นภายนอก (ใบ)[2],[3],[4]
รากนำมาตากแห้งต้มผสมกับน้ำผึ้ง มีรสหวานเย็น ใช้มากในโรคทางเดินหายใจและการมีน้ำสะสมในร่างกายอย่างผิดปกติ (ราก)[4]
ยอดหม่อนนำมาต้มกับน้ำดื่มและล้างตาเป็นยาบำรุงตา (ยอด)[8] ส่วนผลมีสรรพคุณทำให้เส้นประสาทตาดี ทำให้สายตาแจ่มใส ร่างกายสุขสบาย (ผล)[8]
ใบนำมาต้มเอาน้ำใช้ล้างตา แก้ตาแดง ตามัว ตาแฉะ และตาฝ้าฟาง (ใบ)[1],[4]
ใบมีสรรพคุณช่วยทำให้เลือดเย็นและตาสว่าง (ใบ)[2], ส่วนผลมีสรรพคุณช่วยทำให้หูตาสว่าง (ผล)[2]
ใบแก่นำมาตากแห้งมวนสูบเหมือนบุหรี่ แก้ริดสีดวงจมูก (ใบแก่)[4]
ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการใช้เปลือกรากประมาณ 90-120 กรัม นำมาทุบให้แหลก แล้วนำมาต้มกับน้ำดื่มเช้าและเย็น หรือจะใช้ใบนำมาทำเป็นชาเขียวใช้ชงกับน้ำดื่มก็ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน นอกจากนี้ผลก็มีสรรพคุณรักษาเบาหวานได้เช่นกัน (ราก,เปลือกราก,ใบ,ผล)[2],[3],[8]
ใบอ่อนหรือแก่นำมาทำเป็นชาเขียว ใช้ชงกับน้ำดื่มช่วยลดไขมันในเลือด (ใบ)[3]
ช่วยขับน้ำในปอด (เปลือกราก)[2]
กิ่งหม่อนมีสรรพคุณช่วยทำให้ลำไส้ทำงานได้ดี ช่วยจัดความร้อนในปอด และกระเพาะอาหาร ช่วยขจัดการหมักหมมในกระเพาะอาหารและเสลดในปอด (กิ่ง)[8]
ผลมีสรรพคุณช่วยแก้อาการท้องผูก (ผล)[2]
ผลนำมาต้มกับน้ำหรือเชื่อมกินเป็นยาเย็น ยาระบายอ่อนๆ และมีเมล็ดที่ช่วยเพิ่มกากใยอาหาร (ผล)[3],[4] ส่วนเปลือกต้นก็มีสรรพคุณเป็นยาถ่าย ยาระบายเช่นกัน (เปลือกต้น)[3],[4]
เปลือกต้นใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ (เปลือกต้น)[3],[4] รากช่วยขับพยาธิ (ราก)[4]
เปลือกรากมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ (เปลือกราก)[2]
กิ่งหม่อนมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการปัสสาวะสีเหลือง มีกลิ่นฉุนอันเกิดจากความร้อนภายใน (กิ่ง)[8]
ผลเป็นยาเย็นที่ออกฤทธิ์ต่อตับและไต มีสรรพคุณช่วยบำรุงตับและไต (ผล)[1],[2],[4]
ช่วยรักษาตับและไตพร่อง (ผล)[2]
รากมีสรรพคุณเป็นยาสมาน (ราก)[4]
ใบนำมาอังไฟและทาด้วยน้ำมันมะพร้าว ใช้วางบนแผลหรือตำใช้ทาแก้แมลงกัด (ใบ)[4]
ใบใช้ผสมกับหอมหัวใหญ่เป็นยาพอกรักษาแผลจากการนอนกดทับ (ใบ)[4]
ใบใช้เป็นยาแก้อาการติดเชื้อ (ใบ)[4]
ช่วยลดอาการบวมน้ำที่ขา (เปลือกราก)[2]
ช่วยแก้ข้อมือข้อเท้าเกร็ง แก้โรคปวดข้อ ไขข้อ (ผล)[2],[4],[8]
ช่วยแก้แขนขาหมดแรง (ราก)[4]
กิ่งหม่อนมีรสขมเป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อตับ ใช้เป็นยาขับลมชื้นแก้ข้ออักเสบเนื่องจากลมชื้นเกาะติด หรือลมร้อนที่ทำให้ปวดแขน ขาบวม หรือมือเท้าแข็งเกร็ง เส้นตึง (กิ่ง)[2] ช่วยรักษาอาการปวดมือ เท้าเป็นตะคริว เป็นเหน็บชา ด้วยการใช้กิ่งหม่อนและโคนต้นหม่อนเก่าๆ นำมาตัดเป็นท่อนๆ ผึ่งไวให้แห้ง แล้วนำมาต้มกิน (กิ่ง)[8]
ช่วยบำรุงเส้นผมให้ดกดำ (ผล)[8]
ส่วนในประเทศจีนจะใช้เปลือกราก กิ่งอ่อน ใบ และผล เป็นยาบำรุง แก้โรคเกี่ยวกับทรวงอก แก้ไอ หืด วัณโรคปอด ขับปัสสาวะ การสะสมน้ำในร่างกายผิดปกติ และโรคปวดข้อ (เปลือกราก,กิ่งอ่อน,ใบ,ผล)[4]
หมายเหตุ : วิธีใช้ตาม [2] เปลือกรากแห้ง ให้ใช้ครั้งละ 6-15 กรัม ส่วนใบแห้งให้ใช้ครั้งละ 6-15 กรัม, ส่วนผลแห้งให้ใช้ครั้งละ 10-15 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน หรือใช้เข้าตำรับยาตามที่ต้องการ[2]

อาหารที่ชอบ





                                                                  ต้มแซบหมู


         ต้มแซบหมูเมนูอาหารที่มีรสชาติเปรี้ยวนำ ที่ได้รับความนิยมจากบรรดาคนที่ชื่นชอบอาหารรสจัดทั้งหลาย เพราะว่าเป็นเมนูที่ใครๆก็รู้จักและสามารถหาซื้อได้ตามร้ายขายอาหารอีสานทั่วไป แต่ตามร้าน

ส่วนประกอบ

เนื้อหมูจำนวน 300 กรัม
ตะไคร้ทุบตัดเป็นท่อนๆจำนวน 2 ต้น
ข่าแก่หั่นเป็นแว่นจำนวน 7 แว่น
ใบมะกรูดจำนวน 5 ใบ
ผักชีฝรั่งหั่นหยาบๆจำนวน 5 ใบ
น้ำมะนาวจำนวน 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสวนทุบพอแตกจำนวน 10 เม็ด
น้ำปลาจำนวน 1 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมตัดเป็นท่อนจำนวน 2 ต้น
เครื่องปรุงรสไก่ชนิดผงจำนวน 1 ช้อนชา

เทน้ำสะอาดลงในหม้อพอประมาณ 1 ½ ถ้วยตวง จากนั้นต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่ต้นตะไคร้ตัดเป็นท่อนๆ ใบมะกรูด ข่า
ใส่เนื้อหมูตามลงไป แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว เครื่องปรุงรสไก่ชนิดผง
จากนั้นลองชิมรสชาติดูความพอใจ ถ้าหากพอใจแล้วก็ให้ตักต้มใส่ชามที่เตรียมไว้
จากนั้นใส่พริกขี้หนูสวน ต้นหอมที่เตรียมไว้ ผักชีฝรั่งที่หั่นไว้ลงไป
เสิร์ฟได้ทันที พร้อมข้าวสวยร้อนๆ
เมนูต้มแซบหมูนี้เป็นเมนูที่น่ารับประทานมากๆอีกหนึ่งเมนูเลยทีเดียว ดังนั้นถ้าหากแม่บ้านคนไหนสนใจจะนำสูตรไปลองทำเพื่อรับประทานกันในครอบครัวหรือจะทำเพื่อฝึกฝีมือการทำอาหารก็สามารถนำไปลองทำได้ตามสบายเลยค่ะ และนอกจากเมนูที่วันนี้ผู้เขียนนำมาเสนอกันแล้ว ยังมีอีกมากมายหลากหลายเมนูอาหารี่ผู้เขียนนั้นอยากจะเสนอให้กับคุณผู้อ่านทกท่านได้ลองกลับนำไปทำที่บ้านดูอีกด้วยค่ะ